บทที่หนึ่ง

การเปิดเผยเรื่องการอธิษฐานภาวนา

มนุษย์ทุกคนได้รับเรียกมาให้อธิษฐานภาวนา

 2566  มนุษย์แสวงหาพระเจ้าอยู่เสมอ พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกสิ่งจากความว่างเปล่าให้มีความเป็นอยู่ มนุษย์มีความรุ่งโรจน์และเกียรติยศเป็นเสมือนมงกุฎประดับศีรษะ[1]มีความสามารถรองจากทูตสวรรค์ที่จะรู้ว่าพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใดทั่วแผ่นดิน[2] แม้เมื่อมนุษย์ได้สูญเสียภาพลักษณ์ของตนกับพระเจ้าไปแล้วเมื่อทำบาป เขาก็ยังคงเป็นภาพของพระผู้เนรมิตสร้างอยู่ต่อไป ยังคงมีความปรารถนาพระองค์ผู้ทรงเรียกเขาให้มีความเป็นอยู่ ศาสนาทุกศาสนาเป็นพยานของการแสวงหาพระเจ้าอย่างลึกซึ้งเช่นนี้[3]

 2567  พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ก่อน ไม่ว่ามนุษย์จะลืมพระผู้เนรมิตสร้าง ซ่อนตัวห่างไกลจากพระพักตร์วิ่งหนีไปหารูปเคารพของตน หรือกล่าวหาว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งเขา พระเจ้าแท้จริงผู้ทรงพระชนม์ก็ยังไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยที่จะเรียกมนุษย์แต่ละคนให้เข้ามาพบพระองค์อย่างลึกลับ การเข้ามาพบพระองค์เช่นนี้เรียกว่าการอธิษฐานภาวนา ก้าวแห่งความรักของพระเจ้าผู้ทรงซื่อสัตย์นี้นับเป็นก้าวแรกเสมอในการอธิษฐานภาวนา ส่วนก้าวของมนุษย์เป็นเพียงการตอบรับเสมอ ขณะที่พระเจ้าทรงค่อยๆเปิดเผยพระองค์และทรงเปิดเผยให้มนุษย์รู้จักตนเอง การอธิษฐานภาวนาจึงดูเหมือนเป็นการเรียกหากัน เป็นเหมือนการแสดงขั้นตอนแห่งพันธสัญญาที่ใช้คำพูดและการกระทำเพื่อผูกมัดจิตใจ กิจกรรมนี้ค่อยๆ แสดงให้เห็นตลอดประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น  

 

[1]  เทียบ สดด 8:5.

[2] เทียบ สดด 8:1.

[3] เทียบ กจ 17:27.

ตอนที่หนึ่ง

ในพันธสัญญาเดิม

 2568  ในพันธสัญญาเดิม การเปิดเผยถึงการอธิษฐานภาวนามีบันทึกไว้ในระหว่างช่วงเวลาที่มนุษย์ตกในบาปกับช่วงเวลาของการกอบกู้ ระหว่างช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงเรียกบุตรคนแรกของพระองค์ด้วยความทุกข์ว่า “ท่านอยู่ไหน […] ทำไมจึงทำเช่นนี้” (ปฐก 3:9,13) กับเวลาที่พระบุตรแต่พระองค์เดียวทรงตอบเมื่อเสด็จเข้ามาในโลกนี้ (“ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ […] ข้าแต่พระเจ้า เพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์” ฮบ 10:7)[4] การอธิษฐานภาวนาจึงสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เป็นความสัมพันธ์เดียวกันกับพระเจ้าในเหตุการณ์ต่างๆ ของประวัติศาสตร์

 

[4] เทียบ ฮบ 10:5-7.

ตอนที่สอง

เมื่อเวลาที่กำหนดมาถึงแล้ว

 2598   วิวัฒนาการอธิษฐานภาวนาได้รับการเปิดเผยให้เราเห็นอย่างสมบูรณ์ในองค์พระวจนาตถ์ผู้ทรงรับพระธรรมชาติมนุษย์และประทับอยู่กับเรา ความพยายามที่จะเข้าใจการอธิษฐานภาวนาของพระองค์ผ่านทางที่บรรดาพยานถึงพระองค์แจ้งให้เรารู้ในพระวรสารเป็นการที่เราเข้าไปถึงพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับการ(ที่โมเสส)เข้าไปดูพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ ก่อนอื่นเป็นการที่เราพิศเพ่งดูพระองค์กำลังอธิษฐานภาวนา แล้วจึงได้ฟังพระองค์ตรัสสอนเราว่าจะต้องอธิษฐานภาวนาอย่างไร และในที่สุดเพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงฟังการอธิษฐานภาวนาของเราอย่างไร

ตอนที่สาม

ในช่วงเวลาของพระศาสนจักร

 2623  ในวันเปนเตกอสเต พระจิตเจ้าที่พระคริสตเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้นั้นได้หลั่งลงมาเหนือบรรดาศิษย์ “ที่มาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน” (กจ 2:1) “ทุกคนร่วมอธิษฐานภาวนา […] เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (กจ 1:14) พระจิตเจ้าผู้ทรงสอนและทรงทำให้พระศาสนจักรระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้[92] ยังทรงช่วยเสริมสร้างพระศาสนจักรให้มีชีวิตการอธิษฐานภาวนาด้วย

 2624  ในชุมชนคริสตชนกลุ่มแรกที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาผู้มีความเชื่อ “ประชุมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อฟังคำสั่งสอนของบรรดาอัครสาวก  […] ร่วมพิธีบิขนมปังและอธิษฐานภาวนา” (กจ 2:42) การร่วมชุมนุมกันเป็นลักษณะเฉพาะของการอธิษฐานภาวนาของพระศาสนจักร พระศาสนจักรได้รับการสถาปนาขึ้นมาบนความเชื่อของบรรดาอัครสาวกและมีความรักเป็นเสมือนตราประทับ มีศีลมหาสนิทเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต

 2625  ก่อนอื่นหมด การอธิษฐานภาวนาเหล่านี้ที่บรรดาผู้มีความเชื่อได้ยินและอ่านมาในพระคัมภีร์ แต่ก็ปรับการอธิษฐานภาวนาเหล่านี้ให้เข้ากับปัจจุบัน โดยเฉพาะการอธิษฐานภาวนาของเพลงสดุดี เริ่มจากการที่บทเพลงเหล่านี้สำเร็จเป็นจริงในพระคริสตเจ้า[93] พระจิตเจ้าผู้ทรงเชิญชวนพระศาสนจักรผู้อธิษฐานภาวนาให้ระลึกถึงพระคริสตเจ้า ยังทรงนำพระศาสนจักรไปสู่ความจริงทั้งมวลและปลุกสูตรใหม่ๆ เพื่ออธิบายพระธรรมล้ำลึกที่ยากจะเข้าถึงได้เกี่ยวกับพระคริสตเจ้าซึ่งกำลังทำงานอยู่ในชีวิต ในศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และในพันธกิจของพระศาสนจักร สูตรต่างๆเหล่านี้จะได้รับการอธิบายในธรรมประเพณีสำคัญๆ ทางพิธีกรรมและชีวิตจิต รูปแบบต่างๆ ของคำอธิษฐานภาวนาดังที่พระคัมภีร์ที่สืบทอดเป็นทางการมาจากบรรดาอัครสาวกเปิดเผยนี้จะคงเป็นแนวปฏิบัติสำหรับการอธิษฐานภาวนาของคริสตชน

 

[92] เทียบ ยน 14:26.            

[93] เทียบ ลก 24:27,44.