คู่มือแนะแนวการสอนคำสอน - DIRECTORY FOR CATECHESIS (2020)

1. วิธีการอบรมของพระเจ้าในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น

157.  การเปิดเผย (ความจริง) ของพระเจ้าเป็นงานอบรมที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า อันที่จริง  เราสามารถตีความงานนี้ได้ผ่านทางมุมมองในเชิงอบรม ทำให้เราพบองค์ประกอบโดดเด่นที่ช่วยเราให้ตระหนักถึงวิธีการอบรมของพระเจ้า ซึ่งสามารถมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อกิจการอบรมของพระศาสนจักร งานคำสอนจึงติดตามแนวทางวิธีการอบรมของพระเจ้านี้  ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มของประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น การเปิดเผย (ความจริง) ของพระเจ้าแสดงออกมาในรูปของความคิดสร้างสรรค์แห่งความรัก และในหลากหลายช่วงเวลาของการสั่งสอนอย่างเอาใจใส่  พระเจ้าทรงตั้งคำถามแก่มนุษยชาติ และทรงเรียกร้องให้พวกเขาตอบ พระองค์ทรงขอให้อาดัมและเอวาตอบสนองด้วยความเชื่อ ด้วยความนอบน้อมต่อพระบัญชาของพระองค์ และด้วยความรักต่อพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ตาม แต่พระเจ้าก็ยังทรงถ่ายทอดความจริงแห่งธรรมล้ำลึกของพระองค์อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ จนกระทั่งบรรลุถึงความไพบูลย์แห่งการเปิดเผยในองค์พระเยซูคริสตเจ้า    

 

158.  เป้าหมายของการเปิดเผยนี้คือความรอดพ้นของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ผ่านทางการอบรมของพระเจ้า อันทรงประสิทธิผลและไม่มีใครเหมือน ในพระคัมภีร์พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองดังเช่น พระบิดาพระทัยดี อาจารย์ นักปราชญ์ (เทียบ ฉธบ 8:5; ฮชย 11:3-4; สภษ 3:11-12) ผู้ทรงพบมนุษย์อยู่ในสภาพที่ตกในบาป และทรงช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากความชั่วร้าย โดยดึงพวกเขาให้เข้ามาหาพระองค์ด้วยสายใยแห่งความรัก ด้วยความพากเพียรและค่อยเป็นค่อยไป พระองค์ทรงนำประชากรเลือกสรรให้มุ่งไปสู่วุฒิภาวะ รวมไปถึงทุกคนที่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ด้วย ดังเช่นครูที่เชี่ยวชาญ พระบิดาทรงเปลี่ยนความทุกข์ทรมานของประชากรเลือกสรรให้กลายเป็นบทเรียนแห่งปรีชาญาณ (เทียบ ฉธบ 4:36-40; 11:2-7) ปรับพระองค์เองให้เข้ากับเวลาและสถานการณ์ที่พวกเขาเจริญชีวิตอยู่ พระองค์ทรงมอบคำสั่งสอนให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดต่อไปจากรุ่นสู่รุ่นได้ (เทียบ อพย 12:25-27; ฉธบ 6:4-8; 6:20-25; 31:12-13; ยชว 4:20-24) โดยทรงตักเตือนและให้การอบรมแม้โดยอาศัยการทดลองและความทุกข์ยากด้วย (เทียบ อมส 4:6; ฮชย 7:10; ยรม 2:30; ฮบ 12:4-11; วว 3:19)

 

159.  เรายังสามารถเห็นวิธีการอบรมของพระเจ้าในธรรมล้ำลึกแห่งการบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วย เมื่อทูตสวรรค์กาเบรียลขอให้หญิงสาวชาวนาซาเร็ธร่วมมือกับพระอานุภาพของพระจิตเจ้า คำตอบรับของพระนางมารีย์เป็นการตอบที่เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อ (เทียบ ลก 1:26-38) พระเยซูเจ้าทรงทำให้พันธกิจของพระองค์ในการเป็นพระผู้ไถ่กู้สำเร็จสมบูรณ์ และทรงแสดงให้เห็นถึงวิธีการอบรมของพระเจ้า  บรรดาศิษย์ได้ผ่านประสบการณ์แห่งวิธีการอบรมของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นคุณลักษณะโดดเด่นที่เล่าขานกันในพระวรสาร เช่น การต้อนรับคนยากจนคนซื่อๆ คนบาป  โดยการประกาศข่าวดีแห่งพระอาณาจักรพระเจ้า ด้วยรูปแบบแห่งความรักที่ปลดปล่อยจากความชั่วร้ายและส่งเสริมเพิ่มพูนชีวิต ทั้งพระวาจาและความเงียบ อุปมาและภาพลักษณ์กลายเป็นวิธีที่ใช้ในการอบรมอย่างเที่ยงแท้สำหรับการเปิดเผยถึงธรรมล้ำลึกแห่งความรักของพระองค์

 

160.  พระเยซูเจ้าทรงใส่ใจอย่างรอบคอบที่จะอบรมบรรดาศิษย์ของพระองค์ในการเตรียมตัวสู่งานประกาศพระวรสาร ทรงแสดงพระองค์ดังเช่นอาจารย์แต่ผู้เดียวของพวกเขา และในเวลาเดียวกัน ทรงเป็นดังเพื่อนที่มีความพากเพียรอดทนและซื่อสัตย์ด้วย (เทียบ ยน 15:15; มก 9:33-37; มก 10:41-45) ตลอดชีวิตของพระองค์ ทรงสอนเรื่องความจริงแก่พวกเขา จุดประกายพวกเขาด้วยการตั้งคำถาม (เทียบ มก 8:14-21, 27) พระองค์ทรงอธิบายสิ่งที่ได้สอนประชาชนให้แก่พวกเขาอย่างละเอียดลึกซึ้งกว่า (เทียบ มก 4:34; ลก 12:41) สอนพวกเขาให้รู้จักการภาวนา (เทียบ ลก 11:1-2) ส่งพวกเขาไปปฏิบัติภารกิจมิใช่ด้วยลำพัง แต่ให้ไปเป็นกลุ่มย่อย (เทียบ ลก 10:1-20) ทรงสัญญาจะประทานพระจิตแก่พวกเขา ผู้ทรงนำพวกเขาไปสู่ความจริงทั้งมวล (เทียบ ยน 15:26; กจ 4:31) และค้ำจุนพวกเขาในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก (เทียบ มธ 10:20; ยน 15:26; กจ 4:31) วิธีที่พระเยซูเจ้าทรงปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจึงมีลักษณะพิเศษ ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณภาพการอบรมที่ประณีตบรรจงอย่างยิ่ง พระเยซูเจ้าทรงพระปรีชาทั้งด้วยอัธยาศัยอันดีในการต้อนรับและในวิธีการจุดประกายให้หญิงชาวสะมาเรียเปิดใจรับพระหรรษทานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนที่สุดนางได้ประสงค์ที่จะกลับใจ  องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงประจักษ์มาหาศิษย์สองคนที่เอมมาอุส ทรงพระดำเนินกับพวกเขา เริ่มต้นการสนทนา และร่วมส่วนในความเศร้าโศกของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงจุดประกายและเปิดใจของพวกเขา นำพวกเขาเข้าสู่ประสบการณ์แห่งศีลมหาสนิท และเปิดตาของพวกเขาให้จำพระองค์ได้ ในที่สุด พระองค์ทรงเลี่ยงออกไปเพื่อให้บรรดาศิษย์เกิดความคิดสร้างสรรค์ของการเป็นธรรมทูต

 

161.  พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็น “พระอาจารย์ผู้ทรงเผยแสดงความจริงของพระเจ้าแก่มนุษย์ และทรงเผยแสดงความจริงของมนุษย์แก่ตัวมนุษย์เองพระอาจารย์ผู้ทรงช่วยให้รอด บันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์และนำทาง ผู้ทรงพระชนม์ ตรัส กระตุ้น เร้าใจ ตักเตือน แก้ไข ตัดสิน ให้อภัย และก้าวไปกับเราวันแล้ววันเล่าบนเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ พระอาจารย์ผู้เสด็จมาและจะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริรุ่งโรจน์”[1]  ในการใช้เครื่องมือต่างๆ ทุกชนิดอย่างหลากหลายเพื่อสอนว่าพระองค์ทรงเป็นใครนั้น พระเยซูเจ้าทรงกระตุ้นและดึงเอาคำตอบส่วนตัวออกมาจากผู้ที่ฟังพระองค์ นี่คือ คำตอบแห่งความเชื่อ และยิ่งลึกซึ้งกว่านั้นคือเป็น การนอบน้อมแห่งความเชื่อ คำตอบนี้ที่ถูกทำให้อ่อนแอลงเพราะบาป และยังคงเป็นคำตอบที่ต้องการการกลับใจอย่างถาวร อันที่จริง พระเยซูเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นอาจารย์ซึ่งประทับอยู่และทรงทำงานในชีวิตของมนุษย์ ทรงอบรมเขาจากส่วนลึกโดยการนำความจริงเกี่ยวกับตัวของเขาเองและนำเขาสู่การกลับใจ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสารเติมเต็มจิตใจและชีวิตของผู้ที่พบพระเยซูเจ้าบรรดาผู้ที่ยอมให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้น ย่อมเป็นอิสระจากบาปจากความเศร้าโศก ความว่างเปล่าภายในจิตใจ  และความโดดเดี่ยว  ความชื่นชมยินดีนี้บังเกิดขึ้น  และเกิดขึ้นใหม่เสมอพร้อมกับพระเยซูเจ้า”[2]  

 

162.  พระจิตเจ้าที่พระบุตรทรงประกาศถึงและทรงสัญญาจะประทานแก่บรรดาศิษย์ทุกคนก่อนการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์  (เทียบ ยน 6:13) นั้น เป็นทั้งพระพรและผู้ประทานพระพรทั้งหลาย พระจิตเจ้าทรงนำบรรดาศิษย์สู่การรู้จักความจริงและการเป็นประจักษ์พยาน “จนถึงสุดปลายแผ่นดิน” (กจ 1:18) ถึงสิ่งที่พวกเขาได้ยิน ได้เห็น ได้พิศเพ่ง และได้สัมผัสเกี่ยวกับพระวจนาถต์ผู้ทรงชีวิต (เทียบ 1ยน 1:1) พระจิตเจ้าทรงทำงานในมนุษย์ด้วยการผลักดันให้ยึดมั่นในความดีเที่ยงแท้ นำพวกเขาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาและพระบุตร อีกทั้งค้ำจุนพวกเขาด้วยการดูแลของพระญาณเอื้ออาทร เพื่อให้พวกเขาสามารถตอบสนองการทำงานของพระเจ้า  พระองค์ทรงทำงานในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์และพำนักในเขา  พระจิตเจ้าทรงทำให้พวกเขามีชีวิตชีวา ทำให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับองค์พระบุตรโดยประทานพระพรแห่งพระหรรษทานทุกประการ และทำให้พวกเขาสำนึกในพระคุณ ซึ่งเป็นทั้งความบรรเทาและความปรารถนาที่จะตระหนักถึงความคล้ายคลึงของตนกับพระคริสตเจ้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอยู่เสมอ   

 

163.    การตอบสนองการทำงานของพระจิตเจ้าทำให้เกิดการฟื้นฟูเที่ยงแท้ในตัวคริสตชน กล่าวคือ หลังจากที่ได้รับการเจิม (เทียบ 1ยน 2:27) และรับถ่ายทอดชีวิตของพระบุตรแล้ว พระจิตเจ้าทรงทำให้เกิดเป็นสิ่งสร้างใหม่ คือ เป็นเหล่าบุตรในองค์พระบุตร  บรรดาคริสตชนได้รับพระจิตแห่งความรักและการเป็นบุตรบุญธรรม ที่ทำให้พวกเขาประกาศตนว่าเป็นบุตรของพระเจ้า โดยขานพระนามพระเจ้าว่า พระบิดา มนุษยชาติที่ได้รับการฟื้นฟูและกลายเป็นบุตรนี้เป็นสิ่งสร้างใหม่ที่เกิดจากพระจิตเจ้า มีชีวิตจิต และมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งได้รับการผลักดันด้วยลมปราณของพระจิตเจ้า (เทียบ อสย 59:19) ผู้ทรงกระตุ้นเขาให้ “ปรารถนาและทำงาน” (ฟป 2:13) ส่งเสริมเขาให้ตอบสนองต่อความดีตามพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยใจอิสระ “พระจิตเจ้าทรงมอบพลัง เพื่อประกาศความใหม่ของพระวรสารด้วยความกล้าหาญ ด้วยเสียงร้องก้องในทุกเวลาและทุกสถานที่   แม้ว่าจะต้องขัดแย้งก็ตาม”[3] ประเด็นนี้ช่วยให้เข้าใจถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่แห่งวิธีการอบรมของพระเจ้าที่มีอยู่ในชีวิตของพระศาสนจักร ดังที่ปรากฏให้เห็นถึงแบบอย่างของวิธีการอบรมนี้ว่ามีความสำคัญมากเพียงใดในการสอนคำสอน ซึ่งงานนี้ต้องดำเนินไปภายใต้การทรงนำและการปลุกเร้าโดยพระจิตของพระเจ้า และพัฒนาชีวิตแห่งความเชื่อของคริสตชนด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า  

 

[1]  CT 9   

[2]  EG1    

[3]  EG 259