คู่มือแนะแนวการสอนคำสอน - DIRECTORY FOR CATECHESIS (2020)

1. พระเยซูคริสตเจ้า ผู้เผยแสดงและการเผยแสดงถึงพระบิดา

การเผยแสดงในแผนการพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า

11.         ทุกอย่างที่พระศาสนจักรเป็น ทุกอย่างที่พระศาสนจักรทำ พบรากฐานสูงสุดในความจริงที่ว่า พระเจ้า ในคุณความดีและปรีชาญาณของพระองค์ได้ต้องการเผยแสดงธรรมล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์โดยการสื่อสารด้วยพระองค์เองกับมนุษย์ นักบุญเปาโลอธิบายธรรมล้ำลึกนี้ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ “พระเจ้าทรงเลือกสรรเรา ในพระคริสตเจ้าแล้ว ตั้งแต่ก่อนการเนรมิตสร้างโลก เพื่อให้เราศักดิ์สิทธิ์และปราศจากมลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วย   ความรัก พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วที่จะให้เราเป็นบุตรบุญธรรม เดชะพระเยซูคริสตเจ้า” (อฟ 1:4-5) ตั้งแต่เริ่มแรกในการสร้าง พระเจ้าไม่เคยหยุดที่จะสื่อสารแผนการแห่งการช่วยให้รอดพ้นนี้ให้กับมนุษย์ และแสดงเครื่องหมายแห่งความรักของพระองค์ และถึงแม้ว่า “มนุษย์อาจลืมหรือไม่ยอมรับพระเจ้าได้ แต่พระเจ้าไม่เคยทรงหยุดยั้งที่จะเรียกมนุษย์ให้มาแสวงหาพระองค์เพื่อจะได้มีชีวิตและความสุข”[1]

 

12.         พระเจ้าทรงสำแดงและดำเนินการตามแผนการของพระองค์ในรูปแบบใหม่และขั้นสุดท้ายในพระบุคคลของพระบุตร ที่ถูกส่งมาในเนื้อหนังของเรา โดยที่เรา “สามารถเข้าถึงพระบิดาเจ้าในองค์พระจิตเจ้า และมีส่วนในพระธรรมชาติพระเจ้าได้” (DV 2) การเผยแสดงเป็นความริเริ่มของความรักของพระเจ้า และมุ่งสู่ความสนิทสัมพันธ์ “เพราะฉะนั้นอาศัยการเปิดเผยนี้  พระเจ้าซึ่งมนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ (เทียบ คส 1:15, 1 ทธ 1:17) ตรัสกับมนุษย์อย่างเพื่อน ด้วยความรักอันล้นเหลือของพระองค์ (เทียบ อพย 33:11, ยน 15:14-15) และประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา (เทียบ บรค 3:38)  เพื่อพระองค์จะทรงเชิญและรับพวกเขาเข้ามาสนิทกับพระองค์” (DV 2) ยิ่งกว่านั้น แผนการเปิดเผยนี้ “สำเร็จไปด้วยกิจการและพระวาจาซึ่งเกี่ยวเนื่องกันอย่างลึกซึ้ง จนกว่ากิจการที่พระเจ้าทรงทำในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นนั้นแสดงและยืนยันคำสั่งสอน และความจริงที่พระวาจาหมายถึง ส่วนพระวาจา ก็ประกาศถึงกิจการและอธิบายข้อเร้นลับในกิจการเหล่านั้นให้แจ่มแจ้ง” (DV 2) โดยประทับอยู่ในฐานะมนุษย์ท่ามกลางมนุษย์ พระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่เผยแสดงความเร้นลับของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้งานแห่งการช่วยให้รอดพ้นบรรลุผลสำเร็จด้วย ในความเป็นจริง“พระเยซูคริสตเจ้าซึ่งใครที่เห็นพระองค์ก็เห็นพระบิดาด้วย (เทียบ ยน 14:9)  จึงทรงใช้การประทับอยู่และแสดงพระองค์ให้ปรากฏทุกแบบ  ได้แก่พระวาจาและกิจการ เครื่องหมายและการอัศจรรย์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพอันรุ่งโรจน์ และการส่งพระจิตแห่งความจริงลงมา ยิ่งกว่านั้น ทรงทำให้การเผยความจริงของพระเจ้าสำเร็จสมบูรณ์  และทรงเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าประทับอยู่กับเราเพื่อจะทรงช่วยเราให้เป็นอิสระ พ้นจากความมืดมนแห่งบาปและความตาย และเพื่อทรงปลุกเราขึ้นมารับชีวิตนิรันดร” (DV 4)

 

13.         พระเจ้าทรงเผยแสดงความรักของพระองค์ และจากส่วนลึกของแผนการของพระเจ้าทำให้เกิดความใหม่ที่คริสตชนประกาศก็คือ “เราอาจบอกชนทุกชาติได้ว่า ‘พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏ และบัดนี้มีทางเปิดเข้าไปพบพระองค์ได้แล้ว ความใหม่ของข่าวที่คริสตชนประกาศไม่อยู่ที่ความคิดใดความคิดหนึ่ง แต่อยู่ที่ข้อเท็จจริง พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เอง’”[2] เพราะเผยให้เห็นชีวิตใหม่อย่างชัดเจน – ชีวิตที่ปราศจากบาป ชีวิตที่เป็นบุตรของพระองค์ ชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ ชีวิตนิรันดร การประกาศนี้งดงาม “การให้อภัยบาป ความยุติธรรม การทำให้ศักดิ์สิทธิ์ การไถ่กู้ การเป็นบุตรบุญธรรมในฐานะบุตรของพระเจ้า  มรดกแห่งสวรรค์  การเป็นกษัตริย์กับพระบุตรของพระเจ้า  มีข่าวใดจะงดงามไปกว่านี้? พระเจ้าบนโลกและมนุษย์ในสวรรค์!”[3]

 

14.         การประกาศของคริสตชนคือการถ่ายทอดแผนการของพระเจ้า ซึ่งก็คือ

            - ธรรมล้ำลึกแห่งความรัก  มนุษย์ที่พระเจ้าทรงรัก ได้รับเรียกให้ตอบสนองต่อพระองค์ กลายเป็นเครื่องหมายของความรักต่อพี่น้องชายหญิง

            - การเผยแสดงความจริงอย่างลึกซึ้งของพระเจ้าในฐานะพระตรีเอกภาพ และกระแสเรียกของมนุษยชาติต่อชีวิตเยี่ยงบุตรในพระคริสตเจ้า  แหล่งที่มาของศักดิ์ศรีของเขา

            - การมอบการช่วยให้รอดพ้นแก่มนุษย์ทุกคนโดยทางธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูคริสตเจ้า ของประทานที่เป็นพระหรรษทานและพระเมตตาของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงการปลดปล่อยจากความชั่วร้าย จากบาป และจาก ความตาย

            - การเรียกอย่างเด็ดขาดเพื่อรวมมนุษยชาติที่กระจัดกระจายในพระศาสนจักร นำมาสู่ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและความปรองดองกันฉันพี่น้อง  ในที่นี่และตอนนี้  แต่จะสำเร็จสมบูรณ์เมื่อสิ้นสุดของกาลเวลา

 

พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวดีแห่งการช่วยให้รอดพ้น

15.         ในการเริ่มพันธกิจของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงประกาศการมาถึงของพระอาณาจักรของพระเจ้า พร้อมกับเครื่องหมายต่างๆ “พระองค์ถูกส่งมาให้ประกาศสารแห่งความชื่นชมยินดี (เทียบ ลก 4:18) แก่คนยากจน ทรงทำให้เข้าใจได้ง่าย และทรงยืนยันด้วยชีวิตของพระองค์เองว่า พระอาณาจักรของพระเจ้านั้นมีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน”[4]  เริ่มจากผู้ที่ยากจนที่สุด  กับคนบาปและการเรียกให้กลับใจ (เทียบ มก 1:15) พระองค์ทรงเปิดตัวและประกาศว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าสำหรับทุกคน พระเยซูคริสตเจ้า ด้วยชีวิตของพระองค์ เป็นความครบถ้วนของการเผยแสดง ทรงเป็นการแสดงพระเมตตาของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์  และในขณะเดียวกันเป็นการเรียกสู่ความรักซึ่งอยู่ในหัวใจของมนุษยชาติ “พระองค์เองทรงเผยแสดงแก่เราว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นความรัก’ (1 ยน 4:8)  และในขณะเดียวกันสอนเราว่า  บัญญัติใหม่แห่งความรักเป็นกฎพื้นฐานของความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลก” (GS 38)   การเข้าสู่ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์และการติดตามพระองค์ ทำให้เกิดความสมบูรณ์และความจริงในชีวิตมนุษย์ “ใครก็ตามที่ติดตามพระคริสตเจ้า มนุษย์ที่สมบูรณ์ กลายเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น” (GS 41)

 

16.         องค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพแล้ว ทรงประทานพระจิตเจ้าเพื่อเติมเต็มงานแห่งการช่วยให้รอดพ้น และส่งบรรดาศิษย์ออกไปสานต่อพันธกิจของพระองค์ในโลก จากการส่งธรรมทูต     ออกไปของพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ปรากฏคำที่เกี่ยวข้องกับการประกาศข่าวดี  ที่เชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิด “ประกาศ” (มก 16:15)  “สร้างศิษย์  การล้างบาป และการสอน” (มธ 28:19-20) “ท่านจะเป็นพยาน” (กจ 1:8) “จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” (ลก 22:19) “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน” (ยน 15:12) ด้วยวิธีนี้ลักษณะของพลังของการประกาศจะเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งมีการเชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดระหว่างการรับรู้ถึงกิจการของพระเจ้าในหัวใจของทุกบุคคล ความเป็นอันดับหนึ่งของพระจิตเจ้า และการเปิดกว้างอย่างสากลสำหรับทุกบุคคลดังนั้น การประกาศข่าวดีคือความจริงที่เป็น “ความมั่งคั่ง ความสลับซับซ้อน และมีพลัง”[5] และในการพัฒนานี้ได้รวมเอาความเป็นไปได้ต่างๆ การเป็นประจักษ์พยานและการประกาศพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ การเปลี่ยนแปลงภายในและการเปลี่ยนแปลงสังคม ทุกกิจการเหล่านี้เป็นส่วนเสริมและเสริมสร้างซึ่งกันและกัน พระศาสนจักรยังคงดำเนินงานนี้ต่อไปด้วยประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ของการประกาศ  และได้รับการกระตุ้นเตือนอย่างต่อเนื่องโดยพระจิตเจ้า

 

[1]   CCC 30

[2] Benedict XVI, Post-Synodal Apostolic Exhortation Verbum Domini, (30th September 2010), 92          

[3] John Chrysostom, In Mattheum, homilia 1.2(PG 57:15) 

[4] GDC 163           

[5] EN 17