ในโอกาสร่วมงานชุมนุมครูคำสอนนานาชาติ (International Conference of Catechesis)
ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 26 - 29 กันยายน ค.ศ. 2013 ซึ่งเป็นงานฉลองสำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งใน ปีแห่งความเชื่อ นั้น
นอกจากการจัดงานชุมนุมครูคำสอนนานาชาติ ที่หอประชุมเปาโลที่ 6
นครรัฐวาติกัน ซึ่งจัดโดยสมณสภาเพื่อการประกาศพระวรสารใหม่ โดยมีหัวข้อว่า "ครูคำสอน พยานแห่งความเชื่อ" มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 1,600 คน ในจำนวนนี้มีตัวแทนจากประเทศไทยเข้าร่วมประชุมจำนวน 2 ท่าน คือ
คุณพ่อเปรมปรี วาปีโส และคุณพ่อ เอกสิทธิ์ ทัฬหะกุลธร เข้าร่วมประชุมฯ แล้ว
ในวันเสาร์ที่ 28 กันยายน มีครูคำสอน 3 คน เป็นตัวแทนครูคำสอนไทย คือ คุณครูประภา วีระศิลป์ คุณครูทัศนีย์ มธุรสสุวรรณ และคุณครูกมลา
สุริยพงศ์ประไพ ครูคำสอนประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ท่าน จากประเทศอังกฤษ 4 ท่าน ซิสเตอร์ 4 ท่านสามเณร 4 ท่าน พระสงฆ์ 2 องค์ รวมทั้งหมด 18 ท่าน ร่วม เรียนคำสอนและร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ
(Catechesis and Mass with the Cardinal) โดยพระคาร์ดินัล เอ็ดวิน โอไบรอัน (Cardinal Edwin OBrien, USA : Cardinal of the Holy Sepluchre) ณ วัดซานซัลวาตอเร (San Salvatore) ซึ่งประสานงานโดย คุณพ่อ Geno Sylva,STD : Pontifical Council for Promoting the New Evangelization
อนึ่ง คำสอนที่พระคาร์ดินัล เอ็ดวิน โอไบรอันได้แบ่งปัน สรุปได้ดังนี้ เนื่องจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน ทำให้ยากต่อการรักษาความเชื่อไว้ได้ ดังนั้น
1)
ครูคำสอนควรทำให้คนมาวัดด้วยใจยินดี ทำหน้าที่เชิญชวนและต้อนรับผู้ที่มาวัด ไม่ทำให้เขารู้สึกว่ามาวัดแล้วโดดเดี่ยว
ทำให้พิธีบูชาขอบพระคุณมีความหมายสำหรับเขา เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของพิธีบูชาขอบพระคุณ และให้เกิดความชื่นชมยินดี การที่คนไม่มาวัด อาจเป็นเพราะการสอนคำสอนของเราไม่ได้ทำให้เขาพบพระเป็นเจ้า ไม่ได้หยั่งรากลึกลงในจิตใจ พิธีกรรมไม่มีความหมายสำหรับชีวิต คือไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
2) เราเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า ไม่ใช่ศิษย์ของไม้กางเขน แต่การติดตามพระเยซูเจ้าต้องแบกกางเขน เราต้องไม่เลือกกางเขนแต่ให้ยอมรับกางเขน ดำเนินชีวิตตามพระวรสาร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เราต้องทำ การเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้องรับใช้ รับใช้ด้วยใจยินดี
เป็นความยินดีที่มาจากหัวใจ พระเยซูเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้มาเป็นศิษย์ ฉะนั้นทุกคนมีสิทธิ์ติดตาม พระองค์ ซึ่งเป็นกระแสเรียกอย่างหนึ่ง การเป็นศิษย์ของพระเยซูเป็นพระพร การเป็นศิษย์ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งกับพระเยซูเจ้าและกับผู้ที่เราสอนคำสอนด้วย
3) ครูคำสอนเป็นเสียง เป็นหัวใจ และเป็นโฉมหน้าของพระศาสนจักร เราต้องตระหนักในเรื่องนี้ การสอนคำสอนต้องซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ซื่อสัตย์ต่อคำสอนของพระศาสนจักร และต้องสอนในสิ่งที่ถูกต้อง
การสอนคำสอนต้องพูดอธิบาย แต่ในบางครั้งการสอนคำสอนมีรายละเอียดจนมากเกินไป ทำให้เนื้อหาหลักๆหายไป บางครั้งครูคำสอน ทำในสิ่งที่ไร้สาระ คือ พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด และสิ่งที่ผิดพลาดไม่ควรตอกย้ำ เราต้องเชื่อว่า ความรักของพระเจ้า สามารถเปลี่ยนแปลงผู้นั้นได้ ครูคำสอนต้องช่วยให้ผู้คนเติบโตในความเชื่ออย่างแท้จริง
4) พระศาสนจักรในฐานะพระศาสนจักรระดับบ้าน(ครอบครัว) เมื่อเด็กเกิดมาพ่อแม่จะพาลูกไปรับศีล
ล้างบาป เพื่อให้เขาเข้าอยู่ในพระศาสนจักร เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคาทอลิก แต่ไม่ได้เอาใจใส่ดูแลให้ลูกเติบโตในความเชื่อต่อไป ครูคำสอนต้องพยายามทำให้ครอบครัวพาลูก ๆ มาวัดร่วมมิสซา ซึ่งเป็นพันธกิจที่ครอบครัวต้องกระทำ ครูคำสอนต้องเห็นความสำคัญและส่งเสริมพระศาสนจักรระดับบ้าน(ครอบครัว)
5) เป็นพระพรที่พระเยซูเจ้าโปรดให้มีพระศาสนจักร
พระศาสนจักรต้องเปิดกว้างให้คนเข้ามารู้จัก พระเป็นเจ้า วัดควรเอาใจใส่ในเรื่องเหล่านี้ ต้องเปิดออก ทำให้ผู้คนกล้าที่จะเข้ามา ให้กำลังใจเขา ให้เขาเข้ามาในพระศาสนจักรมากขึ้น เป็นการท้าทายเราครูคำสอน ที่จะนำคนอื่นมาเข้าวัด ซึ่งพันธกิจเหล่านี้ต้องอาศัยความเสียสละ พระศาสนจักรเป็นผู้แพร่ธรรม บรรดามิชชันนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า แม้จะต้องหลั่งเลือด สิ่งเหล่านี้ท้าทายความเชื่อของเราในปัจจุบัน
6) เราจะต้องทำให้คนรู้สึกว่าพระศาสนจักรเป็นของเขา เขาเป็นเจ้าของ รู้สึกว่าวัดเป็นของเขา เขาเป็นส่วนหนึ่งของวัด เป็นหน้าที่ของครูคำสอนที่ต้องทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนวัด
เป็นผู้ที่มี ความรักของพระเป็นศูนย์กลาง ครูคำสอนมีหน้าที่ ทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนของวัดและของพระศาสนจักร
7) หลาย ๆ ครั้งที่ครูคำสอนชอบใช้คำว่า ต้อง... อย่า...ต้องทำโน่น
อย่าทำนี่.. การที่มีคำว่าต้อง มากเกินไป เหมือนการกีดกัน เราต้องหาวิธีการหรือรูปแบบใหม่บ้าง
8) ครูคำสอน จำเป็นต้องมีความสุภาพ ถ่อมตน
เห็นถึงความสำคัญของทุกคนที่มาวัด เห็นเขามีคุณค่า มีตัวตนในวัดนั้น ๆ ครูคำสอนควรตระหนักว่า เขาเป็นกระแสเรียกของวัด
9) ในพระศาสนจักร ครูคำสอนเป็นกระแสเรียกและเป็นผู้ส่งเสริมกระแสเรียก
ถ้าเราไม่ตระหนักหรือไม่พูดถึงกระแสเรียก กระแสเรียกนั้นก็จะหายไป
|
|