โดย คุณพ่อ เจมส์ มาร์ติน  SJ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ออก  พระสมณลิขิตเตือนใจ  “ความปิติยินดีแห่งความรัก” (Amoris  Laetitia - The Joy of Love) 19 มีนาคม 2016 ทรงขอให้พระศาสนจักรพบกับประชาชนแบบที่เขาเป็น เข้าใจชีวิตที่ซับซ้อนของประชาชน  และเคารพมโนธรรมของประชาชน เมื่อเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านศีลธรรม ทรงขอให้เราอย่าตัดสินเร็วไป  และอย่ายื่นกฎเกณฑ์ให้โดยมิได้พิจารณาสิ่งที่ประชาชนติดขัด 
.
 จากการประชุมสมัชชาบิชอปสมัยวิสามัญ  เรื่องครอบครัว  5-19 ตุลาคม 2014 และ สมัยสามัญ  (ครั้งที่ 14) เรื่องครอบครัว ระหว่างวันที่ 4-25 ตุลาคม 2015 ณ นครรัฐวาติกัน  สมเด็จพระสันตะปาปาทรงยืนยันคำสอนของพระศาสนจักร เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวและการแต่งงาน  แต่ทรงเน้นบทบาทมโนธรรม  และการไตร่ตรองด้านอภิบาล  จุดประสงค์เพื่อช่วยครอบครัวให้มีประสบการณ์ความรักของพระเจ้า  และรับรู้ว่าพระศาสนจักรต้อนรับสมาชิก  อาจเรียกได้ว่าเป็น วิธีอภิบาลใหม่ (ข้อ 199)
.
ต่อไปนี้เป็น 10 ข้อที่เราควรรู้เกี่ยวกับพระสมณลิขิตเตือนใจฉบับนี้

1. พระศาสนจักรต้องเข้าใจครอบครัว  และเข้าใจแต่ละคนในความซับซ้อนของพวกเขา  ต้องพบประชาชนในที่เขาอยู่ ผู้อภิบาลต้องหลีกเลี่ยงการตัดสินที่ไม่คำนึงถึงความซับซ้อนของสถานการณ์หลากหลาย” (296) “ไม่ควรจะแยกออกเป็นพวกๆ หรือจัดหมวดหมู่โดยใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดมากเกินไป  จนไม่เหลือที่ว่างสำหรับการไตร่ตรองแยกแยะส่วนตัว หรือสำหรับการอภิบาลที่เหมาะสม” (298) สัตบุรุษควรได้รับกำลังใจให้ดำเนินชีวิตตามพระวรสาร  ได้รับการต้อนรับให้เข้าวัด  เข้าใจความลำบาก และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยเมตตาธรรม “การคิดว่าทุกสิ่งเป็นขาวหรือดำ” ต้องหลีกเลี่ยง (305)
 
พระศาสนจักร  ไม่สามารถประยุกต์ศีลธรรม  ราวกับว่ากฎเหล่านั้นเป็นเสมือนก้อนหินที่ทุ่มใส่ชีวิตของผู้คน (305)  พระองค์ขอให้เราเข้าใจ   มีเมตตา และ ก้าวเดินไปด้วยกัน
.
2. บทบาทของมโนธรรม เป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจด้านศีลธรรม “มโนธรรมส่วนบุคคลจำเป็นต้องรวมเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมกับธรรมเนียมปฏิบัติของพระศาสนจักรในสถานการณ์หนึ่งๆ ถึงแม้ว่าไม่ตรงกับความจริงเกี่ยวกับการแต่งงานตามความคิดของเรา” (303) กล่าวคือเราลืมความเชื่อตามประเพณีที่ว่ามโนธรรมส่วนบุคคล เป็นผู้ตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับชีวิตศีลธรรม  พระศาสนจักร “ถูกเรียกร้องให้สร้างมโนธรรม (จิตสำนึก) ไม่ใช่หาสิ่งอื่นมาทดแทน” (37) สมเด็จพระสันตะปาปากล่าวว่าการสอนของพระศาสนจักรต้องสร้างมโนธรรม  แต่มโนธรรมเป็นมากว่าตัดสินว่าอะไรสอดคล้อง หรือไม่สอดคล้องกับการสอนของพระศาสนจักร มโนธรรมสามารถตระหนักถึงสิ่งที่พระเจ้าเองทรงเรียกร้อง (303) ด้วยความมั่นคงด้านศีลธรรม” ดังนั้นบรรดาผู้อภิบาลจำเป็นต้องช่วยประชาชนมิให้ทำตามกฎเกณฑ์ แบบชื่อๆ แต่ต้องรู้จัก “ไตร่ตรองแยกแยะ “ที่รวมการตัดสินใจ อาศัยการอธิษฐานขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือ (304)
.
3. ชาวคาทอลิกที่อย่าร้าง  และสมรสใหม่ต้องการการยอมรับเข้ามาในพระศาสนจักรอย่างเต็ม(ใจ) มากยิ่งขึ้น อย่างไร  ด้วยการมองสถานการณ์เฉพาะของพวกเขา ด้วยการระลึกถึง “องค์ประกอบที่ทำให้บรรเทาลง” ด้วยการให้การแนะนำ “เรื่องภายใน”  (คือ สนทนาส่วนตัวระหว่างพระสงฆ์  และฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  หรือ ทั้งคู่) และด้วยการเคารพการตัดสินใจสุดท้ายเกี่ยวกับระดับการมีส่วนร่วมในวัด ปล่อยให้ตามมโนธรรมของบุคคล (305.300) คู่สมรสที่อย่าร้าง และสมรสใหม่ ควรได้รับความรู้สึกยังเป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักร  “พวกเขาไม่ได้ถูกขับออกจากพระศาสนจักร และพวกเขาไม่ควรจะได้รับการปฏิบัติในทำนองนั้น เพราะพวกเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนพระศาสนจักร “(243)
.
4. สมาชิกทุกคนของครอบครัว ต้องได้รับการให้กำลังใจที่จะดำเนินชีวิตคริสตชนที่ดี 
ข้อความส่วนใหญ่ในพระสมณลิขิตเตือนใจนี้ ประกอบด้วยข้อไตร่ตรองจากพระวรสาร และ การสอนของพระศาสนจักร  เรื่องความรัก ครอบครัว และลูก  รวมทั้งข้อแนะนำภาคปฏิบัติ จากสมเด็จพระสันตะปาปา ข้อตักเตือน  และบทเทศน์เกี่ยวกับครอบครัว การแต่งงานที่ดีเป็นกระบวนการที่มีพลวัต  แต่ละฝ่ายไม่สมบูรณ์ “ความรักไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ  เพื่อจะทำให้เราเห็นคุณค่า”  (113,122) สมเด็จพระสันตะปาปา กำลังตรัสในฐานะผู้อภิบาล ทรงให้กำลังใจไม่เฉพาะแก่คู่แต่งงานแล้วเท่านั้น แต่คู่หมั้น  มารดามีครรภ์  ผู้ปกครองที่รับลูกบุญธรรม แม่ม่าย  ลุงป้าและปู่ย่าตายายด้วย พระองค์สนใจเป็นพิเศษไม่ให้ใครรู้สึกว่าไม่สำคัญหรือถูกตัดออกจากความรักของพระเจ้า
.
5. เราไม่ควรพูดอีกต่อไปเกี่ยวกับประชาชน “ที่กำลังมีชีวิตในบาป”  สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสชัดเจนว่า “เราจึงไม่อาจกล่าวอย่างง่ายๆอีกต่อไปว่าสถานการณ์ที่อยู่ในภาวะ “ไม่ปกติ” ทั้งหมดตกอยู่ในสถานะของบาปที่ทำให้ตาย” (301)  บางคนใน “สถานการณ์ไม่ปกติ” หรือครอบครัวไม่ตามประเพณี เช่น แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกลำพังคนเดียว จำเป็นต้องได้รับ “ความเข้าใจ การปลอบโยน และการยอมรับ” (49) พระศาสนจักรต้องหยุดการพิจารณาประยุกต์ตามกฎเกณฑ์ด้านศีลธรรม “ราวกับว่ากฎเหล่านั้นเป็นเสมือนก้อนหินทุ่มใส่ชีวิตของผู้คน”(305)
.
6. สิ่งที่อาจเกิดผลในสถานที่หนึ่ง อาจไม่เกิดผลในสถานที่อื่น  สมเด็จพระสันตะปาปามิได้ตรัสในเรื่องปัจเจกชนเท่านั้น แต่แบบสถานที่ทางภูมิภาคด้วย “แต่ละประเทศหรือแต่ละภูมิภาคสามารถแสวงหาทางออกที่เหมาะสมมากกว่าสำหรับวัฒนธรรม  และความอ่อนไหวต่อขนบธรรมเนียมประเพณี  และความต้องการในท้องถิ่นของตน” (3) สิ่งที่มีเหตุผลด้านอภิบาลในประเทศหนึ่ง อาจดูไม่เหมาะในประเทศอื่น ด้วยเหตุนี้และอื่นๆ ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสตอนเริ่มเอกสารนี้ว่าด้วยเหตุผลนี้  มิใช่ทุกปัญหาสามารถได้รับการจัดการด้วยอำนาจทางการของพระศาสนจักร (3)
.
7. เรายืนยันคำสอนตามธรรมประเพณี เรื่องการแต่งงาน แต่พระศาสนจักรไม่ควรทำให้ประชาชนแบกภาระด้วยการคาดหวังต่างๆที่ไม่ตรงสภาพข้อเท็จจริง การแต่งงานเป็นระหว่างชายหนึ่ง และหญิงหนึ่ง และอย่าร้างไม่ได้  เราไม่ถือว่าการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันเป็นการแต่งงาน  ในเวลาเดียวกัน บ่อยครั้งพระศาสนจักรได้ยัดเยียดความคิดด้านเทววิทยาที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติเรื่องการแต่งงาน ให้แก่ประชาชน  ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของประชาชน (36) บางครั้งอุดมคติเหล่านี้เป็น “ภาระอันใหญ่หลวง” (122) ตามจุดมุ่งหมายนั้น บรรดาสามเณรและพระสงฆ์จำเป็นต้องได้รับการอบรมดีขึ้น ให้เข้าใจความซับซ้อนชีวิตสมรส  “บรรดาพระสงฆ์ผู้อภิบาลมักจะไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมที่จำเป็นสำหรับการจัดการกับปัญหาอันซับซ้อนที่ครอบครัวกำลังเผชิญกันอยู่” (202)
.
8. เด็กๆต้องได้รับการอบรมเรื่องเพศ  และเพศภาวะ  ในวัฒนธรรมหนึ่งที่ทำให้การแสดงออกด้านเพศเป็นเรื่องธรรมดา(ไม่ใช่เรื่องสำคัญ) และ ถูกทำให้เสื่อมคุณค่าลง เด็กๆต้องเข้าใจเรื่องเพศ “ด้วยกรอบความคิดที่กว้างขึ้น  ในเรื่องของความรัก  การเสียสละตนเองแก่กันและกัน” (280) น่าเศร้าที่ “ร่างกายของบุคคลอื่นถูกมองว่าเป็นวัตถุที่ใช้การได้” (153)  เราต้องอบรมให้เด็กๆเข้าใจว่าเพศเป็นของขวัญแห่งชีวิตใหม่
.
9. สมาชิกชายหญิงผู้ชอบเพศเดียวกัน ควรได้รับความเคารพต่อศักดิ์ศรี พระศาสนจักรไม่อนุญาตการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่า พระองค์ทรงปรารถนาจะยืนยัน” ก่อนใดหมด” ว่าบุคคลที่รักเพศเดียวกัน  ควรได้รับความเคารพต่อศักดิ์ศรีของพวกเขา และได้รับการปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็นใจ  ในขณะที่เราต้องระมัดระวังหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจส่งสัญญาณของการเลือกปฏิบัติทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวร้าวและความรุ่นแรงในทุกรูปแบบ ครอบครัวที่มีสมาชิกที่มีความหลากหลายทางเพศ ( LGBT ) ต้องได้รับ “การแนะนำด้านอภิบาลด้วยความเคารพ “จากพระศาสนจักรและบรรดาผู้อภิบาล   เพื่อบรรดารักร่วมเพศสามารถ ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ในชีวิตของพวกเขา (250)
.
10.  ยินดีต้อนรับทุกคน พระศาสนจักรต้องช่วยครอบครัวทุกชนิด และประชาชนทุกฐานะ  แม้ในความบกพร่องของพวกเขา ให้รู้ว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขา ช่วยให้มีประสบการณ์ความรักนี้  ดังนั้นบรรดาผู้อภิบาลต้องทำให้ประชาชนรู้สึกได้รับการต้อนรับในเขตวัด   สมณลิขิตเตือนใจนี้ มอบวิสัยทัศน์ของพระศาสนจักรด้านการอภิบาล และเมตตาธรรม ซึ่งให้กำลังใจประชาชนประสบ“ความปิติยินดีแห่งความรัก” ครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดในพระศาสนจักร  เพราะเหตุว่า “พระศาสนจักรเป็นครอบครัวของครอบครัวทั้งหลาย” (87)

                                                                                                             ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล (9 เมษายน 2021)
                                                                                                           www.americanmagazine.org 8 เมษายน 2016