5. สมาคม ขบวนการ และกลุ่มต่างๆ ของสัตบุรุษ
304. เมื่อเห็นความสำคัญของชุมชนวัดแล้วไม่ได้หมายความว่าประสบการณ์ของพระศาสนจักรจะจำกัดอยู่เท่านั้น ภายหลังสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 นั้นเกิดมีสมาคม ขบวนการและกลุ่มต่างๆ ของพระศาสนจักรขึ้นมาอย่างมากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในพระศาสนจักรที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันยิ่งใหญ่ในการประกาศข่าวดี ในการเข้าไปสู่สภาพแวดล้อมที่มักอยู่ห่างไกลจากโครงสร้างตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักร สมาคมต่างๆ ของสัตบุรุษได้มาจากประวัติศาสตร์ของคริสตชนและได้เป็นแหล่งของการฟื้นฟูของผู้เผยแผ่ศาสนา กลุ่มสมาคมเหล่านี้จะต้องได้รับการสนับสนุน และยอมรับว่าพระจิตเจ้าทรงแจกจ่ายพระพรตามที่ทรงพอพระทัย (เทียบ 1 คร 12:11) “ขบวนการเหล่านี้...สะท้อนถึงพระพรพิเศษของพระเจ้าอย่างแท้จริงทั้งเพื่อการประกาศข่าวดีใหม่และเพื่อกิจกรรมในการเผยแผ่ความเชื่อ”[24] ถึงแม้ว่าเป้าหมายและวิธีการต่างๆ ของกลุ่มเหล่านี้จะค่อนข้างแตกต่างกัน แต่องค์ประกอบร่วมกันก็ยังคงมีอยู่ กล่าวคือเป็นการค้นพบมิติใหม่ๆ ของการใช้ชีวิตหมู่คณะ เป็นการกระตุ้นแง่มุมต่างๆ ของชีวิตคริสตชนอย่างเช่น การรับฟังพระวาจาของพระเจ้า การปฏิบัติกิจเมตตา การสงเคราะห์ การสนับสนุนฆราวาสในพันธกิจของพระศาสนจักรและของสังคม
305. พระศาสนจักรรับรู้สิทธิ์ของบรรดาสัตบุรุษในการเข้าร่วมในสมาคม โดยอยู่บนพื้นฐานของมิติทางสังคมตามธรรมชาติมนุษย์และศักดิ์ศรีแห่งศีลล้างบาป “เหตุผลที่ลึกซึ้งนั้น...มาจาก...มุมมองเรื่องพระศาสนจักร เพราะว่าสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 กล่าวไว้อย่างชัดเจนเมื่อพูดถึงกลุ่มเหล่านี้ว่าเป็น “เครื่องหมายของความสัมพันธ์และความเป็นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้า”(AA 18)”[25] ในบางครั้งอาจจะมีความยากลำบากเกิดขึ้น ซึ่งโดยส่วนมากเป็นอันตรายเกี่ยวกับการแยกตัว การแสดงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกลุ่มมากจนเกินไป และมีการร่วมมือกับพระศาสนจักรท้องถิ่นที่ไม่เพียงพอ ซึ่งอันที่จริงพวกเขาจะต้องคอยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้ด้วย แนวทางของการเป็นพระศาสนจักร[26] นั้นสำคัญในการช่วยให้เอาชนะความยากลำบากเหล่านี้และเป็นพยานถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน การรวมตัวในรูปแบบต่างๆ ของพระศาสนจักร “เป็นความมั่งคั่งของพระศาสนจักร ซึ่งพระจิตเจ้าทรงบันดาลให้เกิดขึ้นเพื่อประกาศพระวรสารแก่ประชาชนทุกกลุ่มและทุกภาคส่วน บ่อยครั้งหน่วยงานเหล่านี้นำความกระตือรือร้นใหม่ๆ ในการประกาศพระวรสารมาให้ รวมทั้งความสามารถที่จะเสวนากับโลกซึ่งจะฟื้นฟูพระศาสนจักรขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม จะเป็นการดีอย่างยิ่งหากสถาบันต่างๆ เหล่านี้ของพระศาสนจักรไม่สูญเสียความสัมพันธ์กับความเป็นจริงอันมั่งคั่งของชุมชนนัั้นๆ และยินดีทำงานร่วมกับหน่วยงานอภิบาลของพระศาสนจักรท้องถิ่น”[27]
306. ระดับของวุฒิภาวะได้มาจากชุมชนคริสตชนขั้นพื้นฐานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสภาพระสังฆราชหลายแห่งและแพร่หลายในบางประเทศ ซึ่งได้ช่วยก่อให้เกิดการฟื้นฟูพันธกิจ เริ่มต้นจากการรับฟังพระวาจาของพระเจ้าปลูกฝังค่านิยมแห่งพระวรสารในวัฒนธรรมและสถานการณ์ต่างๆ ของประชาชนในท้องถิ่น เหนืออื่นใดในบรรดาคนยากจน หล่อเลี้ยงประสบการณ์ของชีวิตการมีส่วนร่วม การผูกพันบุคคลต่างๆ ในการมีส่วนร่วมด้วยความเต็มใจในงานประกาศข่าวดี “ชุมชนเหล่านี้เป็นเครื่องหมายของชีวิตชีวาภายในพระศาสนจักร เครื่องมือในการอบรม และการประกาศข่าวดี เป็นจุดเริ่มต้นที่มั่นคงเพื่อสังคมใหม่ที่มีรากฐานบน ‘อารยธรรมแห่งความรัก’ ...ถ้าพวกเขาเจริญชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระศาสนจักรอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่แสดงออกอย่างแท้จริงของความสนิทสัมพันธ์และเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความสนิทสัมพันธ์ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ดังนั้น พวกเขาก็เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของพระศาสนจักร”[28]
307. เพื่อการหล่อหลอมปลูกฝังมิติพื้นฐานต่างๆ ของชีวิตคริสตชน บรรดาสมาคม ขบวนการและกลุ่มของพระศาสนจักรเหล่านี้จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการอบรม อันที่จริง “พวกเขามีความเป็นไปได้ที่จะมีวิธีการเป็นของตัวเองในการจัดการอบรมผ่านทางการแบ่งปันประสบการณ์อันลึกซึ้งในชีวิตของการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เช่นเดียวกันอาจจะมีโอกาสในการบูรณาการและจัดการอบรมพิเศษที่เป็นรูปธรรมเพื่อสมาชิกแต่ละคนจะได้รับฟังจากบุคคลต่างๆและจากชุมชนด้วย”[29] โครงการการอบรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้พระพรพิเศษเฉพาะของความจริงแต่ละอย่าง ไม่สามารถนำมาทดแทนการสอนคำสอนซึ่งถือว่ายังคงเป็นสิ่งที่สำคัญในการอบรมคริสตชน ดังนั้นจำเป็นที่บรรดาสมาคม ขบวนการหรือกลุ่มต่างๆ จะต้องจัดเวลาประจำเพื่อให้มีการสอนคำสอนด้วย
308. เกี่ยวกับการสอนคำสอนในกลุ่มที่มีการรวมตัวเหล่านี้ จำเป็นจะต้องพิจารณาแง่มุมต่างๆ เหล่านี้ คือ
ก. การสอนคำสอนเป็นงานประจำของพระศาสนจักร ดังนั้นหลักการในการสอนคำสอนของพระศาสนจักรจำเป็นจะต้องเน้นให้เด่นชัด บรรดาสมาคม ขบวนการและกลุ่มพิเศษต่างๆ จะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับแผนอภิบาลของสังฆมณฑล
ข. จำเป็นต้องเคารพธรรมชาติที่เด่นชัดของการสอนคำสอน พัฒนาให้สมาชิกผู้เข้าร่วมได้รับการอบรมและสัมผัสถึงความลุ่มลึกในชีวิตคริสตชน สอดคล้องกับจิตตารมณ์และรูปแบบอันเป็นพระพรพิเศษประจำของแต่ละกลุ่ม
ค. ชุมชนวัดถูกเรียกร้องให้สนับสนุนการสอนคำสอนที่เกิดขึ้นในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ เพราะบ่อยครั้งสิ่งนี้เป็นการดึงดูดผู้คนให้มีความเข้าใจและเข้าถึงบุคคลที่อยู่นอกขอบเขตวัดด้วย