1. เอกลักษณ์และกระแสเรียกครูคำสอน
110. “ในการสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า สมาชิกและหน้าที่ต่างๆ มีส่วนในบทบาทของตน มีพระจิตเจ้าเพียงพระองค์เดียว ทรงประทานพระพรต่างๆตามความมั่งคั่งของพระองค์และความต้องการของศาสนบริการ เพื่อความผาสุกของพระศาสนจักร” (LG 7) ด้วยคุณความดีของศีลล้างบาปและศีลกำลัง คริสตชนถูกรวมเข้าด้วยกันในพระคริสตเจ้า และมีส่วนร่วมในหน้าที่ของพระองค์ในฐานะสงฆ์ ประกาศก และกษัตริย์ (เทียบ LG 31, AA 2) พวกเขาเป็นประจักษ์พยานถึงพระวรสาร ประกาศด้วยคำพูด และแบบอย่างของชีวิตคริสตชน แต่บางคน “ยังสามารถถูกเรียกร้องให้ร่วมมือกับบรรดาบิชอปและบาทหลวงในการปฏิบัติศาสนบริการพระวาจา”[1] ในพันธกิจและการบริการรับใช้ที่หลากหลายซึ่งพระศาสนจักรตระหนักถึงพันธกิจของตนในการประกาศข่าวดี “ศาสนบริการการสอนคำสอน”[2] ครอบครองสถานะที่สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการเติบโตทางความเชื่อ ศาสนบริการนี้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับความเชื่อและร่วมกับศาสนบริการพิธีกรรม ให้กำเนิดบุตรของพระเจ้าในครรภ์ของพระศาสนจักร ดังนั้น กระแสเรียกเฉพาะของครูคำสอนมีรากฐานมาจากกระแสเรียกทั่วไปของประชากรของพระเจ้า ที่ได้รับเรียกให้รับใช้แผนการแห่งการช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
111. ชุมชนคริสตชนทั้งหมดมีความรับผิดชอบต่อศาสนบริการของการสอนคำสอน แต่ละคนตามเงื่อนไขเฉพาะของเขาในพระศาสนจักร กล่าวคือศาสนบริกรผู้รับศีลบวช บุคคลผู้ได้รับเจิม ฆราวาสที่เป็นสัตบุรุษ “อาศัยบุคคลดังกล่าวนี้ทั้งหมดและหน้าที่ต่างๆ ของพวกเขา ทำให้ศาสนบริการด้านคำสอนสามารถถ่ายทอดคำสอน (ของพระเยซูเจ้า) ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นประจักษ์พยานให้กับความจริงของพระศาสนจักร ถ้าขาดรูปแบบเหล่านี้ไปเพียงหนึ่งอย่าง การสอนคำสอนก็อาจสูญเสียบางอย่างในความสมบูรณ์ไปเช่นเดียวกับการสูญเสียส่วนแห่งความหมายที่ถูกต้องในการสอนคำสอน”[3] ครูคำสอนเป็นของชุมชนคริสตชน และเป็นการแสดงออกของชุมชน การให้บริการนี้ภายในชุมชนซึ่งเป็นผู้ให้บริการหลักในการก้าวไปด้วยกันในความเชื่อ
112. ครูคำสอนเป็นคริสตชนที่ได้รับการเรียกเป็นพิเศษจากพระเจ้า ซึ่งเมื่อยอมรับด้วยความเชื่อแล้ว พระองค์จะทรงเสริมอำนาจให้เขาในการให้บริการการถ่ายทอดความเชื่อและเพื่องานในการเริ่มต้นอื่นๆ ในชีวิตคริสตชน เหตุผลถัดมาที่ว่าทำไมครูคำสอนจึงได้รับเรียกให้รับใช้พระวาจาของพระเจ้าอันยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้โดยทางพระศาสนจักร ให้รับใช้เพื่อเรียกผู้คน ด้วยการเรียกนี้ ครูคำสอนจึงมีส่วนร่วมในพันธกิจของพระเยซูเจ้าในการแนะนำบรรดาศิษย์ในความสัมพันธ์ฉันบุตรกับพระบิดา อย่างไรก็ตาม ตัวเอกที่แท้จริงของการสอนคำสอนคือพระจิตเจ้า ด้วยวิธีร่วมเป็นหนึ่งเดียวอย่างลึกซึ้งกับพระเยซูเจ้าซึ่งได้รับการดูแลเอาใจใส่โดยครูคำสอนทุกคน ทำให้เกิดประสิทธิภาพด้วยความพยายามแบบมนุษย์ในกิจกรรมการสอนคำสอน กิจกรรมนี้ดำเนินการภายในพระศาสนจักร ครูคำสอนเป็นประจักษ์พยานถึงการดำรง ชีวิตตามธรรมประเพณี และเป็นคนกลางที่อำนวยความสะดวกในการรวม บรรดาศิษย์ใหม่ของพระคริสตเจ้าเข้ากับพระกายที่เป็นพระศาสนจักรของพระองค์
113. ด้วยคุณความดีของความเชื่อและการเจิมของศีลล้างบาป ด้วยความร่วมมือกับอำนาจสอนของพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้า และในฐานะผู้รับใช้ของการกระทำของพระจิตเจ้า ครูสอนคำสอนคือ
ก. ประจักษ์พยานแห่งความเชื่อและผู้รักษาความทรงจำของพระเจ้า ในการมีประสบการณ์กับความดีและความจริงของพระวรสาร ในการพบปะกับพระบุคคลของพระเยซูเจ้า ครูคำสอนคอยเก็บรักษา เลี้ยงดู และเป็นประจักษ์พยานถึงชีวิตใหม่ที่เกิดจากสิ่งนี้ และจะกลายเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้อื่น ความเชื่อประกอบด้วยความทรงจำของประวัติศาสตร์ของพระเจ้ากับมนุษยชาติ การเก็บความทรงจำนี้ไว้ ปลุกให้ตื่นขึ้นมาในคนอื่นๆ และในการให้บริการของการประกาศเป็นกระแสเรียกเฉพาะของครูคำสอน การเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิตของครูคำสอนเป็นสิ่งจำเป็นต่อความน่าเชื่อถือของพันธกิจนี้ ด้วยการ ตระหนักถึงความอ่อนแอของตนเองต่อหน้าพระเมตตาของพระเจ้าครูคำสอนไม่หยุดที่จะเป็นเครื่องหมายแห่งความหวังสำหรับพี่น้องของตน”[4]
ข. เป็นครูและผู้สอนคำสอนหลังรับศีลล้างบาป เป็นผู้แนะนำผู้อื่นให้รู้จักธรรมล้ำลึกของพระเจ้า ที่เผยแสดงในธรรมล้ำลึกปัสกาของพระคริสตเจ้า เป็นดั่งภาพของพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นอาจารย์ ครูคำสอนมีหน้าที่สองเท่าในการถ่ายทอดเนื้อหาของความเชื่อและนำผู้อื่นไปสู่ธรรมล้ำลึกของความเชื่อ ครูคำสอนได้รับเรียกให้เปิดใจผู้อื่นให้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับมนุษย์และกระแสเรียกสูงสุดของพวกเขา สื่อสารความรู้เรื่องพระคริสตเจ้า และในขณะเดียวกันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักมิติต่างๆ ของชีวิตคริสตชน เปิดเผยธรรมล้ำลึกของการช่วยให้รอดพ้นที่มีอยู่ในคลังแห่งความเชื่อและได้รับการฟื้นฟูในพิธีกรรมของพระศาสนจักร
ค. เป็นเพื่อนร่วมทางและผู้ให้การศึกษาของผู้ที่พระศาสนจักรมอบหมายให้เขา ครูคำสอนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะของการเป็นเพื่อนร่วมทาง[5] มีความเชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ สามารถรับฟังและเข้าสู่พลังของ การเติบโตของมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วยความอดทนและความรู้สึกแบบค่อยเป็นค่อยไป มีความอ่อนน้อมต่อการกระทำของพระจิตเจ้า และโดยกระบวนการอบรมที่ช่วยพี่น้องให้บรรลุวุฒิภาวะในชีวิตคริสตชนและการเดินทางสู่พระเจ้า ครูคำสอนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยชาติ รู้ถึงความชื่นชมยินดีและความหวังของมนุษย์ ความเศร้าและความทุกข์ของพวกเขา (เทียบ GS 1) และสามารถช่วยพวกเขาให้อยู่ในความสัมพันธ์กับพระวรสารของพระเยซูเจ้า
[1] CIC c. 759; cf aalso CCEO c. 624, 3
[2] CT 13
[3] GDC 219
[4] Cf Francis, Homily at holy Mass on the occasion of the “Day for Catechists” during the Year of Faith (29th September 2013)
[5] Cf EG 169-173: The formative process, or the personal accompaniment of the processes of growth,
facilitates the act of faith and the internalization of the Christian virtues.