การไล่ผีมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ธรรมเนียมการไล่ผีนั้นมีมาตั้งแต่ยุคแรกของพระศาสนจักรแล้ว
มีหลักฐานบันทึกเรื่องการไล่ผีหรือจิตชั่วที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ คือเมื่อพระเยซูเจ้าไล่ผีหรือจิตโสโครกจากคนที่ถูกผีสิง (มก.1.21-28 มธ.12.22-23) พระองค์ไล่ผีจากเด็กชายคนหนึ่ง (มธ. 17.14-27) หลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว
ธรรมเนียมการไล่ผีก็ยังมีอยู่ในนพระศาสนจักรเรื่อยมา
ความหมายของการไล่ผีในพระคัมภีร์
พระเยซูเจ้าทรงไล่ผีนั้นมิได้มีความหมายเพียงไล่จิตชั่วเท่านั้น แต่มีความหมายถึงการมาถึงของอาณาจักรพระเจ้า
พระเจ้าได้ครอบครองแล้ว เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ต้องรู้เสมอว่า พระเยซูเจ้าทำอัศจรรย์นั้นล้วนมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า ประกาศการที่พระเจ้าปกครองและมีอำนาจเหนือสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย รวมทั้งผีปีศาจด้วย
ผีในความหมายของคาทอลิกคืออะไร?
ผีหมายถึงจิตชั่วร้าย วิญญาณชั่วร้ายที่สามารถสิงบุคคลหรือสัตว์ได้ มีกล่าวถึงบทบาทของผีในพระคัมภีร์ที่สิงบุคคลทำให้เขาป่วย เป็นบ้า (มธ.17.14-17)
ผีหรือจิตชั่วร้ายจะเข้าสิงคนที่มีจิตใจอ่อนแอ จิตอ่อน คนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในพระเจ้า พระคัมภีร์ยังกล่าวถึงด้วยว่าผีสามารถเข้าไปสิงสัตว์ด้วย เช่นตอนที่พระเยซูเจ้าไล่ผีจากคนแล้วมันขอเข้าไปสิงในหมู (มก.5.11-13) คำว่า
ผีดังกล่าวนั้นต่างจาก วิญญาณของคนที่จากร่างไปเมื่อความตายมาเยือน
การไล่ผีหรือจิตชั่วในยุคปัจจุบัน
ในยุคปัจจุบันเมื่อวิทยาการทางแพทย์เจริญมากขึ้น
หลายๆกรณีที่เคยเชื่อกันว่าเป็นเพราะผีเข้านั้นก็มองว่าเป็นผลของจิตใจหรือ การป่วยทางจิตมากกว่า ความเจริญทางวิชาจิตวิทยาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อคนเราป่วยทางจิต จะมีผลต่อพฤติกรรมในหลายๆอย่าง เหตุนี้เอง
พระศาสนจักรในปัจจุบันจึงได้จำกัดบทบาทของพระสงฆ์ในการไล่ผีลงมากกว่าในอดีต ปัจจุบันคำสอนและกฎของพระศาสนจักรกำหนดเงื่อนไขและคุณสมบัติของคนที่จะทำการ ไล่ผีได้นั้นให้เป็นสิทธิ์ของพระสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตพิเศษจากพระสังฆราชท้อง
ถิ่นเท่านั้น และนอกจากนั้นพระสงฆ์ดังกล่าวก็จะต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ไม่ใช่พระสงฆ์ทุกคนจะไล่ผีได้ ต่อไปนี้คือความหมายและเงื่อนไขของการไล่ผีที่ผมแปลออกมาจากหนังสือคำสอน คาทอลิกและจากกฎหมายของพระศาสนจักร
หนังสือคำสอนเล่มใหม่กับการไล่ผีข้อที่ 1673
เมื่อพระศาสนจักรวอนขออย่างเปิดเผยและเป็นพิธีการต่อพระนามของ พระเยซูคริสตเจ้าให้ปกปักษ์รักษาบุคคลหรือสิ่งของให้พ้นจากอำนาจของเจ้าความ ชั่วร้ายและให้พ้นจากการครอบงำของมัน
พิธีนี้เรียกว่า การไล่ผี (Exorcism) พระเยซูเจ้าได้ทำการไล่ผี และเพราะเหตุนี้เองพระศาสนจักรจึงได้รับอำนาจและหน้าที่ในการไล่ผี ในรูปแบบสามัญทั่วไปพิธีไล่ผีเป็นส่วนหนึ่งของพิธีล้างบาป แต่พิธีไล่ผีแบบเต็มรูปซึ่งเรียกว่า
..การไล่ผีแบบวิสามัญ..นั้นจะทำโดยพระสงฆ์เท่านั้น พระสงฆ์ที่ทำพิธีดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากพระสังฆราชท้องถิ่นเท่า นั้น นอกนั้นพระสงฆ์ดังกล่าวต้องเป็นผู้ที่มีความรอบคอบ ถือกฎพระศาสนจักรอย่างเคร่งครัด
การไล่ผีนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่การขับไล่ปีศาจ หรือเป็นการปลดปล่อยบุคคลจากการสิงของผีปีศาจโดยอาศัยอำนาจซึ่งพระเยซูเจ้า มอบแก่พระศาสนจักรของพระองค์ การป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งป่วยทางจิตนั้นเป็นคนละเรื่องที่ต่างกันมากกับการ ถูกผีสิง
การรักษาคนป่วยทางจิตนั้นจึงต้องอาศัยเวชศาสตร์เป็นหลัก ดังนั้นก่อนที่จะทำพิธีไล่ผี(จิตชั่ว)จึงต้องมีการพิจารณาให้แน่นอนเสียก่อน ว่าบุคคลกำลังเผชิญกับจิตชั่วร้ายไม่ใช่การป่วยทางจิตใจ (แปลจากหนังสือคำสอนคาทอลิก ข้อที่ 1673)
กฎหมายพระศาสนจักรเกี่ยวกับการไล่ผี ข้อที่ 1172 1) ไม่มีใครทำพิธีไล่ผีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายของพระศาสนจักรหากเขามิได้รับอนุญาตพิเศษจากพระสังฆราชท้องถิ่น 2)
คำอนุญาตให้ไล่ผีจากพระสังฆราชท้องถิ่นนั้นจะมอบให้เฉพาะกับพระสงฆ์ที่มีความศรัทธา มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว มีความรอบคอบและมีชีวิตที่ครบครันน่าเคารพนับถือเท่านั้น
พระสงฆ์ไล่ผีอย่างไร?
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น การไล่ผีแบบสามัญทั่วไปนั้นมีอยู่ในพิธีล้างบาป แต่ในกรณีที่ต้องไล่ผีอย่างวิสามัญแล้ว พระสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตพิเศษเท่านั้นที่จะทำได้
การไล่ผีทั่วไปนั้นพระสงฆ์จะสวดบทภาวนาไล่ผีที่พระศาสนจักรกำหนดเหนือบุคคลดังต่อไปนี้คือ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพสถิตนิรันดร พระองค์ได้ทรงส่งพระบุตรมาในโลกเพื่อช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจของ
มารชั่วร้ายและนำมนุษย์ซึ่งหลุดพ้นจากความมืดแล้วเข้าสู่พระอาณาจักรอันน่า พิศวงและสว่างเจิดจ้าของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอวิงวอนพระองค์โปรดให้เด็กคนนี้เมื่อหลุดพ้นจากบาปกำเนิด แล้วได้เป็นที่ประทับของพระองค์ผู้ทรงพระบรมเดชานุภาพ
และโปรดให้พระจิตเจ้าสถิตกับเขาเสมอไป ทั้งนี้อาศัยพระบารมีพระคริสตเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย อาแมน ขอให้พระฤทธานุภาพของพระคริสตเจ้าพระผู้ไถ่ของชาวเราปกป้องคุ้มครองท่าน
และเพื่อเป็นเครื่องหมายถึงพระฤทธานุภาพนั้นข้าพเจ้าขอเจิมเธอด้วยน้ำมัน แห่งความรอดในพระนามของพระองค์ผู้ทรงจำเริญและครองราชย์ตลอดนิรันดร
การไล่ผียังจำเป็นอยู่หรือ?
แม้เราจะทราบว่าหลายๆกรณีที่คนเกิดอาการผิดปรกตินั้นไม่เกี่ยวกับผี แต่เป็นปัญหาของโรคประสาท แต่พระศาสนจักรก็ยังไม่ได้ทิ้งความเชื่อว่า ผียังมีอิทธิพลและทำร้ายคนได้
ผีที่หมายถึงจิตชั่วร้ายนั้นยังทำงานเพื่อดึงคนให้หนีจากพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม วิธีทางของผีนั้นได้เปลี่ยนรูปแบบไป การสิงจะมีน้อยลง แต่จะเป็นการโน้มน้าวจิตใจคนให้เห็นชั่วเป็นดี ค่อยๆนำใจคนเราให้ไปในทางชั่วร้าย
หรือทำให้มโนธรรมของคนเราหยาบ มองไม่เห็นว่าอะไรชั่วอะไรดี
ต่อคำถามที่ว่า การไล่ผียังจำเป็นอยู่หรือไม่ คำตอบคือยังจำเป็นเหมือนเดิม เป็นต้นในดินแดนที่อยู่ในป่าเขาและผู้คนที่ยังให้ความสำคัญกับบทบาทของผี เช่น ตามดอย ตามภูเขา
ในป่าลึก ที่จิตใจของคนยังอ่อนไหวต่ออิทธิพลมืดของปีศาจ หรือปรากฏการณ์ที่เขาไม่สามารถจะอธิบายด้วยเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ได้ พิธีไล่ผียังเป็นเครื่องหมายถึงการเปลี่ยนจากการนับถือจิตระดับต่ำที่เรียกว่าผี มาให้ความเคารพนับถือพระเจ้า
เช่น พระสงฆ์ที่ทำงานอยู่กับชนเผ่าต่างๆที่ให้ความสำคัญกับผี บ้าน ผีป่า ผีแม่น้ำ ฯลฯ
กระนั้นก็ตามเมื่อพูดถึงเรื่องผีแล้ว เราต้องแยกและเรียกรู้ถึงความหมายของคำว่า ผี ให้ชัดเจน บางครั้ง เป็นการยากที่จะแยกระหว่าง ผี
กับวิญญาณ จิตชั่วกับปีศาจ บางครั้งที่เขาเรียกผีนั้นเขาหมายถึงวิญญาณของบิดามารดาหรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว บางครั้งหมายถึงวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือ บางครั้งหมายถึงความชั่วร้ายที่ทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย
(บ่อยครั้งคือเชื้อมาลาเรีย) บางครั้งหมายถึงอาการแปลกๆของคน เช่น พูดเปลี่ยนเสียง มีพฤติกรรมที่แปลกแยก (ทั่วไปมักจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาท)
สรุป
พระศาสนจักรแม้จะให้ความสำคัญกับเรื่องผีสิงน้อยลงและเพิ่มน้ำหนักให้กับปัญหาของโรคประสาทและโรคจิต แต่พระศาสนจักรก็ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อว่าผีมีจริงและจิตชั่วร้ายยังคงทำงานอยู่เพื่อชิงเอาวิญญาณของคนเราไปเป็นศิษย์ของมัน นอกนั้นพระศาสนจักรยังสอนว่า คนที่สวดภาวนา คนที่มีจิตใจชิดสนิทกับพระเจ้าก็จะรอดพ้นจากอำนาจของจิตชั่วเหล่านั้นได้ ดังนั้นคำตอบของคนที่ไม่อยากถูกผีสิงหรือผีเข้าก็คือ จงภาวนาเสมอ มอบชีวิตไว้ในความคุ้มของของพระเจ้าแล้วท่านจะปลอดภัย
|