ไม่นานภายหลังการประกาศผลเรื่องพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ผู้รายงานข่าวทีวีชาวสหรัฐฯ คนหนึ่งบอกผู้ชมว่า คาทอลิกในลาตินอเมริกา ต้องรอคอยมาเป็นเวลานานถึง 20 ศตวรรษ กว่าจะได้สมเด็จพระสันตะปาปาจากภูมิภาคนี้ ที่จริงก่อนหน้า 500 ปีที่แล้วมานี้ ไม่มีคาทอลิกเลยในลาตินอเมริกา ใช่ เราทุกคนทำผิดพลาดได้ แต่บางทีในกรณีนี้ สาเหตุของความผิดพลาดคงมิได้มาจากความตื่นเต้นดีใจเรื่องสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใหม่ แต่มาจากความต้องการอันหยุดไม่อยู่ของสื่อมวลชนที่ต้องการรายงานเรื่อยเปื่อยตลอดเวลา เมื่อเปรียบเทียบคำพูดเรื่อยเปื่อยตลอดเวลาของโลกปัจจุบัน กับช่วงเวลาที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสยืนสงบนิ่งอยู่ที่ระเบียง ก่อนที่จะเริ่มปราศัยกับประชาชนนับแสนคนที่ลานสาธารณะนักบุญเปโตร และต่อหน้าประชาชนทั่วโลกนับร้อยๆ ล้านคนแล้ว ความสงบเงียบของพระองค์นั้นสวยสดงดงาม และเต็มไปด้วยความหมาย ที่ฉายทั้งภาพลักษณ์แห่งสันติสุขและโอกาสสำคัญไปพร้อมๆ กัน และยิ่งมีความสงบเงียบยาวนานกว่านั้นตามมาอีก เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสขอให้ผู้ร่วมชุมนุมที่นั่นร่วมกันอธิษฐานภาวนาเพื่อพระองค์ ความสงบเงียบที่ส่งผลสะท้อนไปอยู่ตามครอบครัวและโรงเรียนคาทอลิกทั่วทั้งโลกอย่างพร้อมเพรียงกันด้วย ยุคของเราเป็นยุคที่มีเสียงดังอึกทึกครึกโครม การฟังเสียงดังเกินกว่า 85 เดซิเบลติดต่อกันนานๆ สามารถทำลายหูมนุษย์ได้ ที่เมืองแมนแฮตตัน รัฐนิวยอร์ค เสียงจากการจราจรอย่างเดียวดังถึง 79 เดซิเบล (ระบบเดซิเบลเป็นแบบลอการิทึม ดังนั้น 79 เดซิเบล จึงมีผลมากกว่า 69 เดซิเบลถึงสิบเท่า เสียงภายในเครื่องบินขนาดใหญ่ก็อยู่ในระดับ 69 เดซิเบล) สถาบันสุขภาพแห่งชาติบอกว่า เสียงดนตรีที่เราได้ยินทางหูฟังอาจดังถึง... เชื่อไหม... ประมาณ 110 เดซิเบล เสียงดังขนาดนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราแน่นอน อย่างไรก็ดี ปัญหาใหญ่มิได้อยู่ที่ระดับเสียงเท่ากับความยาวนานของเสียงเหล่านั้น นับวันความสงบเงียบยิ่งหายากมากขึ้นทุกทีในสังคมเรา คำพูดคุยเรื่อยเปื่อย เสียงโครมครามแสบแก้วหูสารพัดตลอดเวลากำลังบ่อนทำลายประชาธิปไตย จริงๆ นะครับ สมเด็จพระสันตะปาปาองค์ก่อน
คือ เบเนดิกต์ ที่ 16 ได้ฝากคารมคมคายเรื่อง คุณค่าของความสงบเงียบไว้ดังนี้ ในความสงบเงียบ เราสามารถฟังและเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น ความคิดต่างๆ จะปรากฏชัดเจนและได้รับการกลั่นกรองไปสู่ความลึกซึ้ง เราเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งกว่า ว่าเราอยากจะพูดอะไรและคาดหวังอะไรจากคนอื่น แล้วเราจึงสามารถเลือกวิธีการแสดงออกของตัวตนเราได้อย่างเหมาะสม ด้วยความสงบนิ่งเงียบนั้น เรายอมให้บุคคลอื่นพูดและแสดงตัวตนของเขาออกมา ซึ่งเท่ากับว่า ไม่ผูกมัดกับคำพูดและความคิดเห็นของตนเอง โดยไม่ได้ทดสอบสิ่งเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน โดยวิธีนี้ เราจึงมีจิตว่างเพื่อรับฟังกันและกัน ต่อจากนั้น มนุษย์สัมพันธ์อันลึกซึ้งจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง
โทรศัพท์มือถือมีอยู่เกลื่อนกลาดดาษดื่นทุกแห่งหน และทำให้สังคมของเรามีเสียงดังมากขึ้นทุกที ในอดีต คนที่เดินคนเดียวตามถนนหนทางก็มักจะเดินไปเงียบๆ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว ถ้าคุณเดินสวนทางกับคน 50 คน คุณคงต้องทนฟังการสนทนาถึง 45 ครั้ง ยกเว้นกรณีที่ตัวคุณเองกำลังเป็นฝ่ายทำการสนทนาที่ทำให้คนอื่นต้องทนฟัง ในศาสนาคาทอลิก และในศาสนาอื่นๆ อีกหลายศาสนา การไตร่ตรองและการพิศเพ่งภาวนาเป็นคุณธรรมที่น่ายกย่องชื่นชม แต่ความเงียบงันอึดอัดในสังคมที่เกิดมาจากการควบรวมโลกียวิสัยกับเทคโนโลยี การไตร่ตรองและพิศเพ่งภาวนาดังกล่าว กลับกลายเป็นความชั่วร้ายที่น่าสยดสยอง บรรดานักการเมือง นักกิจกรรม ผู้บรรยาย ผู้เขียนบล็อกต่างๆ ถูกคาดหวังว่าจะต้องมีคำตอบพร้อมสำหรับข่าวทุกๆ เรื่องเสมอ ถ้าเขาออกรายการทีวีหรือวิทยุแล้วเจอคำถามยากๆ การที่จะตอบว่า ขอเวลาคิดดูหน่อย กลับไม่ใช่เป็นลักษณะของบุคคลที่รู้จักคิด แต่กลายเป็นการหลบเลี่ยงปัญหาหรือเป็นความบกพร่องทางสติปัญญาไปเลย นักเทววิทยา Cornelius Plantinga เคยเขียนไว้ว่า การที่จะต้องทนดูคนอื่นกำลังคิดอยู่นั้น ช่างน่าเบื่อที่สุด แต่ถึงอย่างไร การมีเวลาเพื่อนึกคิดก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง หากเราสนใจที่จะได้คำตอบที่ถูกต้อง ลองดูเกมหมากรุก ตามกฎเกณฑ์สากล ถ้าโทรศัพท์มือถือของผู้ร่วมเล่นมีเสียงดังระหว่างเกมนั้น ต้องถือว่า บุคคลผู้นั้นแพ้ทันที แม้กฎนี้เป็นวิธีป้องกันไม่ให้มีการทุจริต แต่จุดเริ่มต้นของกฎอยู่ที่ความเป็นห่วงเรื่องการทำลายสมาธิของคู่เล่นเกม เพราะเสียงจะรบกวนความแจ่มชัดเจนของความนึกคิด ถ้าความซับซ้อนของเกมหมากรุกต้องการสมาธิอย่างเต็มที่ ความซับซ้อนของนโยบายด้านเศรษฐกิจหรือเกี่ยวกับการเงินแผ่นดินจะยิ่งต้องการสมาธิมากกว่านั้นอีกสักเท่าใด ถ้าเราจะหาคำตอบต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ เราต้องมีเวลาและมีจิตว่างพอที่จะนึกคิด มิฉะนั้นเราก็จะไม่สามารถฟังหรือคิดอย่างมีเหตุผล คงมีได้ก็แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบเท่านั้น และเมื่อมัวแต่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกันมากกว่าที่จะฟังกันแล้ว โอกาสที่จะสนทนากันจริงๆ ก็จะเสื่อมค่าลงไปด้วย เหตุผลที่ทำให้การเมืองทุกวันนี้กลายเป็นการตะโกนเอ็ดตะโรใส่กันนั้น เป็นเพราะว่า การเมืองในรูปแบบอื่นเรียกร้องให้ต้องมีเวลา มีจิตว่าง มีสันติสุข และความสงบ Hannah Arendt ในหนังสือ The Life of the Mind เขียนไว้ว่า การนึกคิดทำลายตารางเวลาธรรมดา รบกวนกิจกรรมธรรมดา และกลับถูกรบกวนด้วยกิจกรรมเหล่านั้น แต่เราก็ต้องให้เวลากับการนึกคิด เธอย้ำเตือนเราว่า แม้แต่นักปราชญ์อย่างโสเกรตีส ก็ไม่ได้มีคำตอบเสมอ และไม่ได้สนใจการสนทนาเสมอไป Arendt บอกว่า หลายต่อหลายครั้งที่เราเห็นโสเกรตีออกไปอยู่ตามลำพังเพื่อจะมีเวลานึกคิด แล้วทั้งหมดนี้ก็นำเรากลับมาสู่จุดเริ่มต้น เรื่องนักข่าวรายงานผิดพลาดเกี่ยวกับคาทอลิกในลาตินอเมริกาที่ต้องรอถึง 2000 ปี นักข่าวคนนั้นไม่มีบทเขียนต่อหน้าเขาและกำลังแถลงข่าวสดๆ ท่ามกลางฝูงชนขนาดใหญ่ หน้าที่ของเขาคือ ทำให้ทุกวินาทีเต็มไปด้วยคำบรรยาย จึงไม่มีเวลาใช้ปัญญาไตร่ตรองก่อนที่จะพูดอะไรออกไป นั่นแหละคือประเด็นปัญหาของพวกเรา เราอยู่ในโลกที่ให้เวลาน้อยมาก สำหรับการพิจารณาไตร่ตรอง เราเป็นคนที่มีธุระยุ่งอยู่เสมอ มีน้อยคนนักที่สามารถลงแรงกับการเจียดเวลาเพื่อตรวจตราความนึกคิด แต่เราทุกคนก็ต้องปะติดปะต่อประเด็นความคิดต่างๆ ที่มีเข้าด้วยกันให้ได้ หากเราไม่มีเวลาที่จะแสวงหาความสงบเงียบ เราก็จะเสียโอกาสที่จะนึกคิดอย่างชัดเจน และหากเราไม่มีเวลาที่จะนึกคิดอย่างแจ่มชัด เราก็จะเสียโอกาสปกครองกันดีๆ แบบประชาธิปไตยด้วย |
||||
Stephen L Carter |
||||