สิ่งที่เราได้เห็นและได้ฟังนี้ เราประกาศ ให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้สนิทสัมพันธ์ กับเรา ความสนิทสัมพันธ์นี้ คือความสนิทสัมพันธ์ กับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือ พระเยซูคริสตเจ้า เราเขียนเรื่องนี้ถึงท่าน เพื่อความปิติยินดีของเราจะได้สมบูรณ์ (1 ยอห์น 1:3-4) เราผู้แทนจาก 14 ประเทศในสหพันธ์สภาพระสังฆราชแห่งเอเชียร์จำนวน 42 คน มาประชุมที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (บางนา) ประเทศไทยระหว่าง 23-27 ตุลาคม 2006 เพื่อไตร่ตรองและอภิปรายปัญหาเรื่องคำสอนครอบครัว การประชุมครั้งนี้จัดโดยสหพันธ์สภาพระสังฆราชแห่งเอเชียหน่วยงานการศึกษาและจิตตาภิบาล (FABC-OESC) หัวข้อเกี่ยวกับครอบครัวได้รับการอภิปรายในหลายระดับของ FABC ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา อาศัยผลของการทำงานเหล่านั้น เราต้องการพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันว่ามีผลต่อเรื่องการสอนคำสอนของเราอย่างไร จะถ่ายทอดความเชื่อสู่คนรุ่นใหม่อย่างไร บทบาทครอบครัวจะเป็นทั้งเนื้อหา ผู้ปฏิบัติและสถานที่ของการสอนคำสอนด้วยอย่างไร ดังนั้นการนำเสนอในการประชุมนี้ เน้นสภาพจริงของการสอนคำสอนครอบครัว ในทวีปเอเชีย เราเริ่มด้วยการตระหนักถึงปัญหามากมายและการท้าทายที่ครอบครัวปัจจุบันได้รับ ในฐานะพระศาสนจักรเราพยายามพูดถึงครอบครัวในอุดมคติในหลายทาง เช่น ครอบครัวที่ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายมีความเชื่อเดียวกัน มีความสัมพันธ์ที่มั่นคง แม่อยู่ที่บ้านเลี้ยงดูและช่วยอบรมลูก ได้รับการอภิบาลโดยวัดและชุมชน ให้พ้นจากองค์ประกอบที่ไม่ดีที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ครอบครัวอุดมคตินานๆจึงจะมี ถึงแม้ว่าชาวเอเชียมีโครงสร้างครอบครัวที่เข้มแข็ง โลกปัจจุบันในประเทศของเราได้รับผลความกดดันรุนแรงที่มีแนวโน้มทำลายสถาบันครอบครัว ทำให้สอนคำสอนยิ่งทียิ่งลำบาก ความกดดันด้านเศรษฐกิจบ่อยๆ เป็นเหตุให้ทั้งพ่อแม่ทำงาน บางครั้งผู้ปกครองทำงานห่างจากครอบครัว ความกดดันด้านการศึกษาเป็นเหตุให้บรรดานักเรียนใช้เวลาหลายชั่วโมงในโรงเรียน การแต่งงานแบบพ่อแม่ถือความเชื่อต่างกันมีจำนวนมากขึ้น จึงทำให้การเป็นพยานของครอบครัวคาทอลิกอ่อนแอ แนวโน้มการหย่าร้างสูงขึ้นซึ่งทำให้เด็กอยู่กับพ่อหรือแม่ฝ่ายเดียว อิทธิพลของสื่อสารมวลชนเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่ให้คุณค่าตรงกันข้ามกับคุณค่าของพระศาสนจักร สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นบางองค์ประกอบที่เราต้องเผชิญจริงๆในทุกวันนี้ ในอดีต เป็นจริงที่การสอนคำสอนส่วนมากเป็นหน้าที่ของวัดโดยตรง บรรดาผู้ปกครองดีใจปล่อยลูกให้พระสงฆ์ ซิสเตอร์ และบรรดาครูคำสอนทางการ ผู้ปกครองไม่เคยมองตนเองว่ามีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังความเชื่อแก่ลูก ความพยายามที่จะส่งเสริมการสอนคำสอนแบบบูรณาการต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ หรือมิฉะนั้นจะสอนไม่บรรลุผล เราเห็นงานต่อหน้าเรานี้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน สภาพระสังฆราชและสังฆมณฑลต้องสนใจเรื่องนี้ มีความจำเป็นต้องพิจารณาจริงจังในประเด็นต่อไปนี้ 1. จำเป็นต้องพัฒนาการสอนคำสอนโดยมีวิสัยทัศน์ใหม่เกี่ยวกับครอบครัวในเอเชียดังสหพันธ์สภาพระสังฆราชแห่งเอเชียได้ดำเนินการบ้างแล้ว 2. การสอนคำสอนต้องมุ่งสร้างคุณค่าพระวรสาร คุณค่าที่ส่งเสริมโลกให้มีมนุษยธรรมมากขึ้น พยายามเข้าใจและยอมรับคู่แต่งงานฝ่ายที่มิได้เป็นคาทอลิก 3. จำเป็นต้องพัฒนารูปแบบการสอนคำสอนใหม่ โดยเน้นความต้องการพิเศษของประชาชนในประเทศต่าง ๆ ของเรา 4. ทุกประเทศต้องหาวิธีการที่ปฏิบัติได้จริง ต่อสภาพการแต่งงานที่ถือศาสนาต่างกัน (Inter-faith marriages) 5. เราต้องพัฒนาโครงการที่มุ่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ปกครองเดียว บรรดาผู้อพยพ และผู้ติดเชื้อ HIV 6. จำเป็นต้องฝึกอบรมฝ่ายบริหารครูคำสอนให้เป็นมืออาชีพ 7. ต้องพยายามให้ผู้ปกครองมีสำนึกว่าพวกเขาองเป็นผู้ประกาศข่าวดีคนแรก และเป็นผู้อบรมความเชื่อแก่ลูก ๆ ครอบครัวเป็น พระศาสนจักรระดับบ้าน เป็นสถานที่สำคัญสำหรับปลูกฝังความเชื่อ 8. สมาชิกทุกคนของเขตวัด และกลุ่มคริสตชนขั้นพื้นฐาน (BEC) ต้องส่งเสริมบรรยากาศให้ความเชื่อเติบโตและเบ่งบาน ข้อแนะนำพิเศษบางประการ 1. เรายืนยันว่าจุดมุ่งหมายแรกของการสอนคำสอนคือ การสร้างศิษย์ของพระคริสต์มิใช่เพียงแค่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อ 2. เครื่องมือแรกประการหนึ่งของการสอนคำสอน คือ การเป็นพยานส่วนตัว มิใช่แค่ผู้ปกครองเท่านั้น แต่สมาชิกทุกคนในพระศาสนจักร ควรเน้นวิธีการเจริญชีวิตจริงๆ ตามคุณค่าพระวรสารในชีวิตของเรา 3. การสอนคำสอนควรช่วยเหลือครอบครัวให้รู้จักใช้เครื่องมือสื่อสารมวลชน ในฐานะเป็นพระศาสนจักร เราควรรู้จักประยุกต์การใช้สื่อเวลาสอนคำสอน อุปปกรณ์สื่อสารแบบเดิมเช่นหุ่น ละคร เพลง ฯลฯ เรายังใช้ได้ในการสื่อสารความเชื่อ 4. ในโครงการอบรมเตรียมแต่งงานผู้รับผิดชอบควรพิจารณาถึงปัญหาการแต่งงานที่คู่แต่งงานต่างวัฒนธรรม และต่างความเชื่อสอนความสำคัญของการสื่อสารด้วยวาจา และท่าทาง และการยอมรับข้อแตกต่างของปัจเจกชน 5. ควรพัฒนาโปรแกรมให้ครูคำสอนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติพันธกิจของพวกเขารวมทั้งมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับคำสอนของพระศาสนจักร ทักษะการสื่อสาร และภูมิใจในบทบาทฐานะแบบอย่างชีวิตคริสตชน 6. โครงการคำสอนควรพร่ำสอนให้เห็นคุณค่าสำหรับความหมายและความงดงามของเพศมนุษย์ ให้เคารพพระพรแห่งการสร้างของพระเป็นเจ้าและมีความสำนึกว่าระบบคุณค่าของโลกต่อต้านระบบคุณค่าของพระคริสต์อย่างไร 7. การสอนคำสอนครอบครัวทีมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องฟื้นฟูชุมชนเขตวัด และโครงสร้างของเขตวัด ต้องพัฒนาโครงการเน้นกระบวน การรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน (RCIA) เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมงานของเขตวัด มิใช่เพียงแค่เด็กๆ ในงานคำสอนและการประกาศข่าวดี 8. ผู้ปกครองจำเป็นต้องได้รับการแนะนำอย่างพิเศษ ให้สามารถดำเนินชีวิตตามบทบาทของเขาอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะเป็นครูคำสอนคนแรกของลูก เพราะหลายคนไม่รู้สึกว่าสามารถทำสิ่งนี้ได้ พวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือให้เห็นว่าบ้านสามารถจัดช่วงเวลาสอนคำสอนได้ และมีโอกาสใดที่สามารถแบ่งปันความเชื่อและอบรมความเชื่อในบ้าน 9. ครอบครัวได้รับการสนับสนุนให้ร่วมงานบริการด้วยกันในเขตวัด ในสังคมบ้านเมือง และออกไปหาคนยากไร้ กิจการเหล่านี้เป็นการอุทิศตนตามความเชื่อ และความสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าซึ่งใครก็สามารถร่วมงานได้ 10. ในเขตวัดควรมีกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์เพื่อช่วยครอบครัวให้สามารถดำเนินชีวิต ตามค่านิยมพระวรสารอย่างมีประสิทธิภาพ 11. กลุ่มคริสตชนของพระศาสนจักร (BEC) เป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่ง ในการสนับสนุนชีวิต และการสอนคำสอนครอบครัวเป็นพิเศษในสถานที่ที่ขาดแคลนพระสงฆ์ สรุป ในการทำข้อเสนอเหล่านี้ เราสำนึกว่าภารกิจนี้ยิ่งใหญ่ แต่เราขอมอบความหวัง และความพยายามในพระหัตถ์ของพระนางมารีย์ พระมารดาของพระศาสนจักร และพระมารดาของเรา ผู้ยังคงเป็นแบบอย่างของผู้ฟังพระวาจาและนำไปปฏิบัติ (ลูกา 8:21) ขอพระแม่นำเราด้วยความเคารพ ความรับผิดชอบ และให้บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถแบ่งปันความรักของพระเยซูกับบรรดาเด็ก ในฐานะที่พวกเขาเปิดตนเองตอพระวาจาของพระเป็นเจ้าในชีวิต และยอมให้พระวาจา เปลี่ยนแปลงพวกเขา ครอบครัว และทุกคนที่พวกเขาจะมาพบปะด้วย พระสังฆราชวีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
|
||||||||